วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ข้อสอบ 30 ข้อ เรื่อง Internet Protocol Version 6 (IPv6)
1. (IPV6) ย่อมาจากอะไร
ก. Internet Protocol Vertion6
ข. Vertion6
ค. Internet Protocol
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ก. Internet Protocol Vertion6
2.โพรโตคอลดังกล่าวทั้งหมดกี่ฉบับ
ก. 1ฉบับ
ข. 2ฉบับ
ค. 3ฉบับ
ง.4ฉบับ
เฉลย ง.4ฉ3.CATNIP ย่อมาจากอะไร
ก.(Common Architecture for Next Generation Internet Protocol)
ข.(TCP and UDP with Bigger Addresses)
ค.(Simple Internet Protocol Plus)
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ก.(Common Architecture for Next Generation Internet Protocol)
4.TUBA ย่อมาจากอะไร
ก.(Common Architecture for Next Generation Internet Protocol)
ข.(TCP and UDP with Bigger Addresses)
ค.(Simple Internet Protocol Plus)
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ข.(TCP and UDP with Bigger Addresses)
5. SIPP ย่อมาจากอะไร
ก.(Common Architecture for Next Generation Internet Protocol)
ข.(TCP and UDP with Bigger Addresses)
ค.(Simple Internet Protocol Plus)
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ค.(Simple Internet Protocol Plus)
6.แนวทางในการพัฒนาIPV6 อย่างเป็นทางการไว้ในเอกสาร RFC 1752 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
ก.นโยบายการแบ่งสรรหมายเลขไอพีแอดเดรส
ข.ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกคืนชุดหมายเลขไอพีรุ่นที่ 4 ที่มีการใช้ประโยชน์ต่ำกว่าเกณฑ์กลับคืนมา
ค.ให้ใช้หลักการแบ่งสรรหมายเลขไอพีคลาส A ที่เหลืออยู่แบบ CIDR
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ง.ถูกทุกข้อ
7.โครงการ IP ng Area (คณะทำงานที่ถูกแต่งตั้งโดย Internet Engineering Task Force, IETF ในปีค.ศ.ใด
ก.1991
ข.1992
ค.1993
ง.1994
เฉลย ค.1993
8.คณะทำงาน IP ng ถูกก่อตั้งขึ้นโดยใคร
ก.Steve Deering และ Ross Callon
ข.adda
ค.Ping
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ก.Steve Deering และ Ross Callon
9.คณะทำงาน Address autoconfiguration ถูกก่อตั้งและนำทีมโดยใครบ้าง
ก. Ross Callon
ข. Steve Deering
ค. Dave Katz ร่วมกับ Sue Thomson
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ค. Dave Katz ร่วมกับ Sue Thomson
10.โครงการ IPng Area จะสิ้นสุดลงเมื่อปลายพ.ศ.ใด
ก.ปลายปี 1994
ข.ปลายปี 1997
ค.ปลายปี 1995
ง.ปลายปี 1990
เฉลย ค.ปลายปี 1995
11.คุณลักษณะเฉพาะของ IPng APIs คืออะไรบ้าง
ก.ต้องสนับสนุน Authentication header และ algorithm อย่างเฉพาะเจาะจง
ข.ต้องสนับสนุน Privacy header และ algorithm อย่างเฉพาะเจาะจง
ค.ต้องมีการพัฒนาโครงร่างของระบบ Firewall สำหรับ IPng
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ง.ถูกทุกข้อ
12.และในช่วงกลางปี 1994 เช่นกัน IPng ได้รับการกำหนดหมายเลขรุ่นโดยหน่วยงานใด
ก.ไม่มีข้อถูก
ข.Internet Assigned Numbers Authority(IANA)
ค.อเมริกา
ง.หน่วยงานจากญี่ปุ่น
เฉลย ข.Internet Assigned Numbers Authority(IANA)
13.จากข้อ12.ได้รับเป็นรุ่นที่เท่าไหร่
ก.ให้เป็นรุ่นที่ 6 อันเป็นที่มาของ IPv6
ข.ให้เป็นรุ่นที่ 4 อันเป็นที่มาของ IPv4
ค.ให้เป็นรุ่นที่ 5 อันเป็นที่มาของ IPv5
ง.ให้เป็นรุ่นที่ 7 อันเป็นที่มาของ IPv7
เฉลย ก.ให้เป็นรุ่นที่ 6 อันเป็นที่มาของ IPv6
14. เอกสาร RFC1752 ชุดนี้ได้ถูกยอมรับและดำเนินการต่อโดยคณะทำงานภายใต้ IETF ที่ชื่อว่า อะไร
ก. Internet
ข. Engineering
ค.Internet Engineering Steering Group (IESG)
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ค.Internet Engineering Steering Group (IESG)
15. IP Address มีอยู่กี่ลักษณะ
ก.สองลักษณะด้วยกัน
ข.สามลักษณะ
ค.สี่ลักษณะ
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ก.สองลักษณะด้วยกัน
16. IP Address มีลักษณะบ้าง
ก. Static IP
ข. IP Address
ค. Dynamic IP
ง. Static IPและ Dynamic IP
เฉลย ง. Static IPและ Dynamic IP
17. หน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดสรร IP Address เหล่านี้คือ
ก.หน่ายงานจากต่างประเทศ
ข.หน่วยงานภายในประเทศไทย
ค.องค์การระหว่างประเทศที่ชื่อว่า Network Information Center - NIC
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ค.องค์การระหว่างประเทศที่ชื่อว่า Network Information Center - NIC
18. IPv6 ประกอบด้วยเลขฐานสองจำนวนกี่บิต
ก.128 บิต
ข.84 บิต
ค.32 บิต
ง. 16 บิต
เฉลย ก.128 บิต
19.จุดเด่นของ IPv6 ที่พัฒนาเพิ่มขึ้นมากจาก IPv4 คืออะไร
ก.ขยายขนาด Address ขึ้นเป็น 128 บิต สามารถรองรับการใช้งาน IP Address ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้
ข.เพิ่มขีดความสามารถในการเลือกเส้นทางและสนับสนุน Mobile Host
ค.สนับสนุนการทำงานแบบเวลาจริง (real-time service)
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ง.ถูกทุกข้อ
20.เฮดเดอร์ของ IPV 6 เทียบกับของ IPV 4 จะสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างอะไรบ้าง
ก.ตำแหน่งที่ตัดออก
ข.ตำแหน่งที่ปรับเปลี่ยน
ค.ตำแหน่งที่เพิ่ม
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ง.ถูกทุกข้อ
21 Internet Protocol Vertion6 (Ipv6) มีขนาดเท่าใด
ก. มีขนาด 126 bit
ข. มีขนาด 128 bit
ค. มีขนาด 129 bit
ง. มีขนาด 127 bit
เฉลย ข. มีขนาด 128 bit
22.ข้อเสียของ Ipv6 คืออะไร
ก.การใช้ IPv6 แทน IPv4 เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและทำได้ยาก ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและถูกวิธี
ข.ประเทศไทยยังมีการติดตั้งเครือข่าย IPv6 ไม่มากนัก จะเกิดขึ้นกับคนบางกลุ่มหรือกับผู้ให้บริการรายใหญ่ๆเท่านั้น
ค.ในประเทศไทยประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงไม่ตื่นตัวหรือสนใจที่จะใช้ IPv6 ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ง.ถูกทุกข้อ
23.ข้อดีของ Ipv6 ข้อใดผิด
ก.การใช้ IPv6 แทน IPv4 เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและทำได้ยาก ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อย
ไปและถูกวิธี
ข.มีหมายเลข IP Address มากกว่าเดิมมาก ทำให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้
ค.มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี
ง.มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบเคลื่อนที่ ( Mobile IP )
เฉลย ก.การใช้ IPv6 แทน IPv4 เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและทำได้ยาก ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและถูกวิธี
24. ลักษณะทั่วไปของ IPv6 ข้อใดถูก
ก.มีความสามารถมากขึ้นในการ Routing, Security, Quality of Services (QoS) ภายใน IP Header
ข.สนับสนุน Real Time Services
ค.สนับสนุนการ Assign หมายเลข IP Address โดยอัตโนมัติ ในขณะที่ IPv4 ต้องพึ่งโปรโตคอลอื่นๆ เช่น DHCP เป็นต้น
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ง.ถูกทุกข้อ
25.ข้อใดไม่ถูกต้องของตำแหน่งที่เพิ่มขึ้นมาของ IPv6 เมื่อเทียบกับ IPv4
ก. Type of Service ของ IPv4 ถูกแทนที่ด้วย Traffic Class ซึ่งใช้ระบุว่า packet นี้อยู่ใน class ไหนและมีระดับความสำคัญเท่าไหร่ เพื่อที่ router จะได้จัด QoS DiffServ ในการส่ง packet ให้เหมาะสม
ข. Flow label ใช้ระบุ end-to-end traffic flow ระหว่างต้นทางกับปลายทาง ใน application หนึ่งๆสามารถสร้าง flow ได้หลายๆ อัน อย่างเช่น video conference เราสามารถแยก flow ของภาพและเสียงออกจากกันได้ แม้ว่าจะเปิด socket ในการทำงานเพียง socket เดียว
ค. Header Checksum ถูกตัดออกเพราะว่ามันซ้ำซ้อนกับ function ของ protocol บน layer ที่อยู่สูงกว่า IP อีกทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการประมวลผล packet ด้วย เพราะ checksum ต้องคำนวณใหม่ที่ router เสมอ หากตัดออกก็จะลดภาระงานที่ router ได้
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ค. Header Checksum ถูกตัดออกเพราะว่ามันซ้ำซ้อนกับ function ของ protocol บน layer ที่อยู่สูงกว่า IP อีกทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการประมวลผล packet ด้วย เพราะ checksum ต้องคำนวณใหม่ที่ router เสมอ หากตัดออกก็จะลดภาระงานที่ router ได้
26. IPv6 address ถูกแบ่งออกเป็นกี่กลุ่มใหญ่ๆ
ก. 1
ข. 2
ค. 3
ง. 4
เฉลย ค. 3
27.จากข้อที่ 26 มีอะไรบ้าง
ก.Unicast
ข. Multicast
ค. Anycast
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ง.ถูกทุกข้อ
28. IPv6 นั้นมี รูปแบบของ IP Address อยู่ทั้งหมดกี่ประเภทหลักๆ
ก.2
ข.4
ค.6
ง.8
เฉลย ค.6
29. IPv6 "Internet Protocol Version 6" ซึ่งจะเป็น Internet protocol ออกแบบและคิดค้นโดย
ก.Microsoft
ข.IETF
ค. CATNIP
ง. SIPP
เฉลย ข.IETF
30. Dual stacks หมายถึง
ก.การใช้งาน IPv4 และ IPv6 stack ควบคู่กันไปภายในอุปกรณ์ตัวเดียวกัน
ข.การปรับเปลี่ยนเครือข่ายจาก IPv4 สู่ IPv6
ค.สำหรับการให้บริการเชื่อมต่อ กันระหว่างเครื่องที่ใช้และติดตั้งหมายเลข IPv6 เพียงอย่างเดียว
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ก.การใช้งาน IPv4 และ IPv6 stack ควบคู่กันไปภายในอุปกรณ์ตัวเดียวกัน
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
IPv6 (IP Address version6)
มี Address ประมาณ 1 พันล้าน addresses
ประมาวลผลได้เร็วกว่า IPv4
มีการรองรับการจัดการ เพื่อให้สามารถส่งขอ้มูลได้รวดเร็ว ทำให้สื่อสารแบบ Real time ได้
IPv6 Addressing
มีขนาด 16 ไบต์ หรือ 128 บิต ในการเขียน Address ของ IPv6 จะใช้เลขฐาน 16 โดยแบ่งบิตข้อมูลออกเป็น 8 ส่วนๆ ละ 2 ไบต์ ดังนั้นต้องใช้ตัวเลข 4 หลักสำหรับแต่ละส่วน แล้วใช้ ":" (Gap) คั่นระหว่างส่วนต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเขียน Address แบบย่อ โดยย่อส่วนที่มีเลข 0 ต่อเนื่องกัน เช่น
- 1080:0000:0000:0000:0000:008:200C:417A สามารถอ่านเขียนย่อโดยใช้ 0 ตัวเดียว แทน 0000
- 1080::0008:0800:200C:417A เลขศูนย์ที่ติดกันต่อเนื่องเป็นชุด สามารถใช้สัญลักษณ์ "::" แทนเลขศูนย์ทั้งชุดได้
Transition from IPv4 to IPv6
การเปลี่ยนแปลงจาก IPv4 เป็น IPv6 ไม่สามารถทำได้ในทันที ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จุงค่อยๆทำ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการใช้งาน
IETF กำหนดมาตรฐานในการเปลี่ยนจาก IPv4 เป็น IPv6 ไว้ 3 วิธี ดังนี้
1. Dual Stack เนื่องจาก Protocol ของการใช้ stack คู่นี้จะทำให้ Host สามารถที่จะใช้งานได้ทั้งสองอย่าง ในการเลือกว่าจะส่ง Packet ออกไปให้กลับ Host ปลายทางโดยใช้ IP เวอร์ชั่นไหนนั้น Host ต้นทางจะส่งPacket ไปยัง DNS (Domain Name System) ก่อน ถ้าตอบ IPv4 กลับมา แสดงว่า Host ต้นทางจะต้องส่ง Packet เป็น IPv4 เป็นต้น
2. Tunneling คือ Host ทั้ง 2 ตัวใช้ IPv6 ต้องการสื่อสารกัน แต่ต้องส่ง Packet ผ่าน IPv4 ดังนั้น Packet นั้นจะต้องใช้ Address ของ IPv4ด้วย ทำให้ Packet IPv6 ต้อง Encapsulate เป็น Packet IPv 4 ก่อน เมื่อออกจากเครือข่าย IPv4 จึงทำการ Decapsulate ให้เป็น Packet IPv6 เหมือนเดิม
3. Header Translation จำเป็นเมื่อ Internet ได้มีการเปลี่ยนเป็น IPv6 แต่ยังมีบางเครื่องที่ใช้ IPv4 ต้องเปลี่ยนโครงสร้างของ Header ทั้งหมด โดยใช้วแปลง Header ทำหน้าที่ในการแปลง Header ของ IPv6 ให้เป็น IPv4
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการกระจาย
IPv4 ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น 192.168.1.1 หรือ 203.97.45.200 มาจากเลขฐานสอง(มีเลข 1 กับเลข 0 เท่านั้น) จำนวน 32 บิท ตัวอย่าง
110000001010100000000001000000001
ถ้าเป็น IP แบบนี้ IP เดียว คงจะพอจำได้ แต่เวลาอ้างถึง IP คงจะบอกกัน หนึ่ง หนึ่ง ศูนย์ ศูนย์.......... เป็นที่ลำบาก ทั้งคนบอกและคนฟัง เพื่อให้สื่อถึงกันได้ง่ายขึ้น จึงใช้วิธีเปลี่ยนเป็นเลขฐานสิบ ที่เราคุ้นเคย แต่ถ้าเปลี่ยนทีเดียวทั้ง 32 บิท เป็นเลขฐานสิบแล้ว ก็ยังเป็นจำนวนสูงมาก ยากที่จะจดจำเช่นกัน จึงใช้แบ่งเลขฐานสอง 32 บิทที่ว่าเป็นช่วง ๆ ช่วงละ 8 บิท 4 ช่วง จากนั้นก็แปลงเลขฐานสอง 8 บิทเป็นเลขฐานสิบแต่ละช่วงคั่นด้วย "." อธิบายมากไป อาจจะงงเปล่า ๆ ดูตัวอย่างดีกว่า
11000000 10101000 00000001 000000001 = 192.168.1.1
สำหรับท่านที่ไม่เคยเรียนวิธีการแปลงฐานเลข อาจจะงง ได้เลข 192.168.1.1 มาอย่างไร มาดูวิธีการแปลงฐานเลข กันสักหน่อยดีไหม สูตรการแปลงฐานเลข (จำไม่ได้เหมือนกัน นึก ๆ เอา ถ้าผิดขออภัย)
N*B(x-1)
เมื่อ
N คือจำนวนเลขที่เราเห็น 0 หรือ 1 สำหรับเลขฐานสอง ถ้าเป็นฐานอื่น ก็จะมีเลชมากกว่านี้ เช่น ฐานแปด ก็จะมีเลข 0 - 7
B คือฐานเลข ในที่นี้ เท่ากับ 2 เพราะเป็นฐานสอง ถ้าฐานแปด B ก็จะเท่ากับแปด
X เป็นหลักที่เลข N อยู่
ว่าไปแล้วผมก็ชักมึน ๆ ไม่รู้ว่าสูตรจริง ๆ เป็นแบบนี้เปล่า มาดูตัวอย่างกันเลยดีกว่า
11000000 = 1*27 + 1*26 + 0*25+ 0*24 + 0*23 + 0*22 + 0*21 + 0*20
________= 128 + 64 + 0 + 0 + 0 + 0 + 0 + 0
________= 192
10101000 = 1*27 + 0*26 + 1*25+ 0*24 + 1*23 + 0*22 + 0*21 + 0*20
________= 128 + 0 + 32 + 0 + 8 + 0 + 0 + 0
________= 168
00000001 = 0*27 + 0*26 + 0*25+ 0*24 + 0*23 + 0*22 + 0*21 + 1*20
________= 0 + 0 + 0 + 0 + 0 + 0 + 0 + 1
________= 1
พอว่าเรื่องการแปลงฐานเลข ทำให้นึกได้ เมื่อก่อนนี้ ไม่เข้าใจเลย เช่น เวลา Network admin ให้มาว่า เน็ตเวอร์กคุณคือ 203.46.246.64/28 นะ เราก็พอรู้ว่า /28 น่ะคือ netmask แล้วมันคือ netmask เท่าไร หาได้อย่างไร ตอนหลังจึงทราบว่า 28 มาจาก mask ตัวเลข 1 ไป 28 บิท(ของ 32 บิท) ที่เหลือเป็น 0 หมด เขียนเป็นเลขฐานสอง 8 บิท 4 ชุดได้ว่า
11111111 11111111 11111111 11110000 พอรู็ว่าเป็นแบบนี้ ก็แปลงเป็นฐานสิบจากวิธีการข้างบนได้ว่า 255.255.255.240 จึงหายสงสัยไปได้
IPv6 addresses หน้าตาเป็นอย่างไร ?
IPv4 คือเลขฐานสอง จำนวน 32 บิท ซึ่งก็ยากแก่การจำแล้ว มาดู IPv6 กันบ้าง ประกอบด้วยเลขฐานสอง จำนวน 128 บิท ครับท่าน ถ้าจะคิดว่า จะเป็น IPs ต่าง ๆ กันได้กี่ IPs ก็หาได้จาก
2^128-1: 340282366920938463463374607431768211455
คงเป็นไปไม่ได้ ที่ใครจะจำ 128 บิท IPs ได้ ถึงแม้จะแปลงเป็นเลขฐานสิบแล้วก็ตาม เพราะเป็นเลขถึง 39 หลัก ดังนั้นผู้ค้นคิด จึงตัดสินใจใช้เลขฐาน 16 แทน เพราะ 4 บิทของเลขฐานสอง แปลงเป็นเลขฐาน 16 ได้ 1 หลักพอดี คือ 0-9 จากนั้นก็ใช้ a-f แทน 10-15 (ถ้าใครไม่รู้จักเลขฐาน 16 ก็คือหนึ่งหลักมีเลขเริ่มต้นจาก 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 a b c d e f) ดังนั้นเลข ip ก็จะเป็นเลขฐาน 16 จำนวน 32 หลัก (128/4)
ffffffffffffffffffffffffffffffff
ซึ่งก็ยังจำและเขียนยากอยู่ดี หรือว่าเขียน ตกไปหนึ่งตัว ก็จะทำให้ผิดความจริงไปได้ เพื่อให้สังเกตุเห็นได้ง่าย ผู้ค้นคิดจึงกำหนดให้ใช้ ":" ขั้น แต่ละ 16 บิท(ฐานสอง) หรือ 4 หลักของเลขฐาน 16 ได้ผลเป็น
ffff:ffff:ffff:ffff:ffff:ffff:ffff:ffff
ตัวอย่าง IPv6 address
3ffe:ffff:0100:f101:0210:a4ff:fee3:9566
เลข 0 ที่นำหน้า ของแต่ละ 16 บิท สามารถละไว้(ไม่ต้องเขียน)ได้
3ffe:ffff:0100:f101:0210:a4ff:fee3:9566 -> 3ffe:ffff:100:f101:210:a4ff:fee3:9566
ในแต่ละ 16 บิทบล็อค ถ้ามีแต่เลข 0 สามารถแทนด้วย "::" แต่ห้ามเขียนแบบนี้ ":::"
3ffe:ffff:100:f101:0:0:0:1 -> 3ffe:ffff:100:f101::1
การลดรูปมากที่สุด ก็คือ localhost address
0000:0000:0000:0000:0000:0000:0000:0001 -> ::1
IPv4 แล้วทำไมถึงเป็น IPv6 ทำไมไม่เป็น IPv5
4 บิทแรกของ IP header จะถูกกันไว้เป็นตัวบอกเวอร์ชั่นของ IP ดังนั้นเวอร์ชั่นของ IP ที่จะเป็นได้คือ 0 - 15
4 ถูกนำมาใช้แล้ว สำหรับ IPv4 ในปัจจุบัน
5 สำรองไว้ใช้สำหรับ Stream Protocol (STP, RFC 1819 / Internet Stream Protocol Version 2) ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ยังไม่ได้นำมาใช้งาน
ดังนั้นเลขที่เหลือตัวต่อไปก็คือ 6 ด้วยเหตุนี้ จึงเป็น IPv6
URL
Http://Limux.sra.cattelecom.com/new/Ipv6.HTML
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
Routing Protocol
คือโพรโทคอลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน routing table ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆที่ทำงานในระดับNetwork Layer (Layer 3) เช่น Router เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งข้อมูล (IP packet) ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผู้ดูแลเครือข่ายไม่ต้องแก้ไขข้อมูล routing table ของอุปกรณ์ต่างๆตลอดเวลา เรียกว่าการทำงานของ Routing Protocol ทำให้เกิดการใช้งาน dynamic routing ต่อระบบเครือข่าย
การทำงานของ Router
Router เป็นอุปกรณ์ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย (network)
Router หน้าที่หลักของคือ การอ้างอิงไอพีแอดเดรสระหว่างเครื่องลูกข่ายที่อยู่กันคนละเครือข่าย รวมที่ทั้งการเลือกและจัดเส้นทางที่ดีที่สุด เพื่อนำข้อมูลข่าวสาร ในรูปแบบของแพ็กเกจจากเครื่องลูกข่ายต้นทางบนเครือข่ายที่ตนดูแลอยู่ไปยังเครื่องลูกข่ายที่อยู่กันคนละเครือข่าย
การเชื่อมต่อของ Router
การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายผ่านทาง WAN หรือโครงข่ายสาธารณะ เช่น ISDN หรือ การเช่าคู่สาย 64K ขึ้นไป เราเรียกว่า WAN Router
การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายชนิดติดตั้งบนแลน เราเรียกว่า Local Router บางครั้งจะถูกเรียกว่า Internal Router
การจัดวางตำแหน่งของ Router
การจัดวาง Router ที่เชื่อมต่อกันบน WAN คือการไหลของข้อมูลข่าวสารแบบ 80/20 %
80% คือ ปริมาณข้อมูลข่าวสารที่จะสื่อสารกันได้ภายในเครือข่ายเดียวกัน
20% คือ ปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่จะข้ามไปมาระหว่างเครือข่ายได้
ในกรณีที่มีเครือข่าย หลายเครือข่ายติดตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และต้องการเชื่อมต่อเพื่อสื่อสารระหว่างกัน ท่านจะต้องพิจารณาใช้ Switching Hub แบบ Layer 3 หรือ พิจารณาเพื่อติดตั้ง Router ในรูปแบบของเซิร์ฟเวอร์นั่นคือการติดตั้งการ์ดแลนหลายชุดบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์นั่นเอง
ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย
การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย ไม่เกิน 200 เมตร ท่านควรใช้ Router ที่ทำจาก Server เนื่องจากว่าราคาถูก อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อกันได้ โดยใช้สาย UTP
อัตราความเร็วที่ต้องการ
อัตราความเร็ว หมายถึง ความเร็วของการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายในระดับของข้อมูลข่าวสาร โดยคิดอัตราเมกกะบิตต่อวินาที หรือที่เรียกว่าค่า Throughput
ถ้าปริมาณข้อมูลข่าวสารมีขนาดเล็กหรือปานกลางวิ่งที่ความเร็วไม่เกิน 100 Mbps และมีราคาถูก ท่านควรเลือกใช้ Router ที่ทำจากเซิร์ฟเวอร์
ถ้าข้อมูลข่าวสารวิ่งข้ามไปมาระหว่างเครือข่ายมีมาก (มากในระดับ 80% ขึ้นไป) เลือกใช้ความเร็วระดับ Gigabit โดยติดตั้งการ์ดแลนทั้งสองบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และเชื่อมต่อเข้ากับ Switches Hub ที่ติดตั้ง Gigabit Modules ทั้ง 2 ด้านบนเครือข่าย
การเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่า 2 เครือข่าย
การเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่า 2 เครือข่ายขึ้นไป ควรเลือกใช้ Layer 3 Switching Hub แทน เนื่องจากอัตราความเร็ว รวมทั้งปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่ข้ามไปมาหลายเครือข่ายสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ประเภทของสื่อสัญญาณที่ใช้
สื่อสัญญาณที่ใช้เป็นตัวบ่งบอกถึงข้อจำกัดของการเชื่อมต่อเครือข่าย
ใช้ Router ที่ทำจากเซิร์ฟเวอร์และใช้การ์ดแลนแบบ 100Base-FX ซึ่งใช้สาย Fiber Optic แบบ 2 Core (2 Strand) ขนาด 62.5/125 ความยาวคลื่นขนาด 850 nm ท่านสามารถเชื่อมต่อได้ระยะทาง 412 เมตร ต่อ 1 ด้าน
Layer 3 Switches Hub และเป็นระบบ 100Base-FX มีระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายที่ต่างก็ใช้ Switching Hub มาเชื่อมต่อกับเครือข่าย ได้ไกลถึง 2 กิโลเมตร แต่ถ้าใช้ระบบ 1000Base-FX เชื่อมต่อกับเครือข่าย ได้ไกลถึง 6-10 กิโลเมตร
ปริมาณและขนาดความซับซ้อนของเครือข่าย
Router ที่ทำจาก Server เหมาะสำหรับ ปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่วิ่งข้ามไปมาระหว่างเครือข่าย จะต้องมีไม่เกิน 20% เท่านั้น โดยที่การสื่อสารที่เกิดขึ้น 80% เป็นของภายในเครือข่าย
Router ที่ทำจาก Switches แบบ Layer 3 เหมาะสำหรับ การสื่อสารข้อมูลที่วิ่งข้ามไปมาระหว่างเครือข่าย 80% อีก 20% เป็นการสื่อสารภายใน
Layer 3 Switches
Router ที่ทำงานบน WAN ตัว Layer 3 Switches Hub ให้การสนับสนุนโปรโตคอลเลือกเส้นทาง มากมายหลายแบบ
ให้การสนับสนุนโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ RIP Version 1,2 รวมทั้ง OSPF (Open Short Path First)
เหมาะสำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่ ที่มีเครือข่ายมาก กระจายไปตามจุดหรืออาคารต่างๆขององค์กร
มีลักษณะการเชื่อมต่อแบบ Collapse back Bone
Routing Protocol : โปรโตคอลเลือกเส้นทาง
หัวใจหลักของ Router คือการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด
โปรโตคอลเลือกเส้นทาง ในการคำนวณและจัดหาเส้นทาง ที่ดีที่สุด ที่เร็วที่สุด ไปสู่ปลายทางในรูปแบบของ Software
โปรโตคอลเลือกเส้นทาง แบ่งออกเป็นระดับชั้น (Class) ใหญ่ ได้ 2 แบบ ดังนี้
ระดับขั้น Interior Domain
- Distance Vector ซึ่งเป็น Routing Protocol ที่อาศัยหลักเกณฑ์ในเรื่องระยะทางเป็นตัวกำหนด
- Link State ซึ่งอาศัยสถานะ การเชื่อมต่อเป็นตัวกำหนด
ระดับขั้น Exterior
- เป็น โปรโตคอลเลือกเส้นทาง ที่นำมาใช้เพื่อเชื่อมกลุ่มของ Router จำนวนมากหลายๆกลุ่มเข้าด้วยกัน ได้แก่ BGP
Routing Information Protocol (RIP)
เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางประเภท Distance Vector ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับเครือข่ายขนาด เล็กไปจนถึงขนาดกลาง
เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางมาตรฐานที่ไม่ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตรายใด
มี RIP Version 1 ที่ได้รับมาตรฐาน RFC 1058
เป็นโปรโตคอลที่เรียบง่าย อีกทั้งยังง่ายต่อการจัดตั้ง
คุณลักษณะการทำงานของ RIP
RIP อาศัย ค่าของจำนวน Hop เป็นหลัก เพื่อการเลือกเส้นทาง โดยจำกัดที่ไม่เกิน 15 Hop
RIP จะส่งข่าวสารเกี่ยวกับการปรับปรุงเส้นทางออกไปทุก 30 วินาที
การส่งข่าวสารเกี่ยวกับการปรับปรุงตารางเส้นทาง เป็นการส่งออกไปทั้งหมดของตารางทั้งที่เป็นของเก่าและของใหม่
การส่งข่าวสารเกี่ยวกับการปรับปรุงเส้นทาง จะเกิดขึ้นกับ Router ที่เชื่อมต่อกันโดยตรงเท่านั้น
การทำงานขั้นพื้นฐานของ RIP Version 1
มีการ Boot Router ขึ้น เส้นทางที่ Router จะต้องให้ความสนใจเป็นลำดับแรกได้แก่ เส้นทางที่เชื่อมต่อกับ เครือข่ายปลายทางโดยตรง
ทำการ แพร่กระจายข่าวสารเกี่ยวกับเครือข่ายที่มันรู้จักไปทั่วเครือข่ายทุกเครือข่าย ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรง
RIP จะรับฟังการแพร่ข่าวสาร โดยข่าวสารที่ใช้แพร่กระจายไปทั่ว (Broadcast) นี้ เป็นข่าวสารเพื่อการปรับปรุงเส้นทาง
การรับฟังการแพร่ข่าวสารไปทั่วของ Router เพื่อนบ้าน จะทำให้ Router ที่กำลังรับฟังอยู่ สามารถล่วงรู้เส้นทาง ไปสู่เครือข่าย อื่นๆ ที่ตนเองไม่รู้มาก่อน
RIP ใช้ค่า Metric ประเภท Hop โดยอาศัยค่าที่แสดงจำนวน Hop เป็นหลักเกณฑ์ จำนวนของ Hop ที่ Router นับได้ต้องไม่เกิน 15 Router ตลอดเส้นทางที่จะเดินทางผ่าน
Router ที่เชื่อมต่อระหว่างกัน จะถือว่า ต่างก็เป็น Hop หนึ่งในตารางเส้นทางของตนเอง
การใช้ค่า Metric ของ RIP
จำนวนของ Hop ที่ใช้เดินทางไปสู่ปลายทาง หมายถึง จำนวนของ Router ที่ Packet จะต้องเดินทางผ่าน ไปสู่เครือข่ายปลายทาง
เส้นทางเดินที่ดีที่สุด ไม่ได้หมายความว่า Router จะได้เส้นทางที่ดีที่สุด เสมอไป
ตัวอย่าง เช่น เพื่อให้ Router A เดินทางไปสู่ Router B ตัว RIP จะเลือกเส้นทางการเชื่อมต่อความเร็ว 56K แทนที่จะเลือก เส้นทางความเร็วสูงกว่า อย่างเช่น 1.5 Mbps เนื่องจากว่า Router A เห็นว่า การเดินทางไปสู่ B โดยผ่าน Router C เป็นการใช้ 2 Hop โดยไม่สนใจว่า การเดินทางอ้อมผ่านทาง Router C จะมีความรวดเร็วกว่า
การเกิดปัญหา Routing Loop
Triggered Update หมายถึงการปรับปรุงตารางเส้นทางทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงคิวหรือถึงเวลาการปรับปรุงเสียก่อน)
การเกิดปัญหา Routing Loop
RIP คือการที่ Router ไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจภาพรวมของเครือข่ายทั้งหมด
เป็นเรื่องของ Packet ที่วิ่งกลับไปกลับมาระหว่าง Router 2 ตัวหรือมากกว่า โดยไม่สามารถหลุดออกไปจากวงจรสะท้อนกลับไปกลับมานี้ได้ บางครั้งฝรั่งเรียกลักษณะนี้ว่า Count to Infinity
URL
Routing Protocol - วิกิพีเดีย
Routing Protocol คือโพรโทคอลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน routing table ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆที่ทำงานในระดับ Network Layer (Layer 3) เช่น Router ...
th.wikipedia.org/wiki/Routing_Protocol - แคช - ใกล้เคียง
PPT] Routing Protocal
รูปแบบไฟล์: Microsoft Powerpoint - ดูในรูปแบบ HTML
BGP (Border Gateway Protocol) เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางประเภท Exterior Gateway Routing ที่ใช้เพื่อการเชื่อมต่อ Router และเครือข่ายที่อยู่ต่างโดเมนDomain ...
wiki.nectec.or.th/.../SompongWankham_Deliverabe?...Routing... - ใกล้เคียง
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552
ข้อสอบ 20 ข้อเรื่องเราเตอร์
1.เราเตอร์จะมองและแบ่งเครือข่ายออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า อะไร
ก. network C
ข. Segment
ค. routing table
ง. static route
ตอบข้อ ข เซกเมนต์ (Segment) พร้อมทั้งกำหนดตัวเลขแอดเดรส (Address) เพื่อให้เป็นตำแหน่งที่อยู่ การกำหนดแอดเดรสของเครือข่ายแต่ละเซกเมนต์และคอมพิวเตอร์แต่ละตัวนั้นจะช่วยให้เราเตอร์
2.การแบ่งประเภทของ routing algorithm ออกเป็นกี่ประเภท
ก.1
ข.3
ค.2
ง.4
ตอบข้อ ค 2 ประเภทคือ interior routing protocol และ exterior routing protocol
3.ลักษณะที่สำคัญของการติดต่อแบบ Distance-vector คือ ในแต่ละ Router จะมีข้อมูล ใดเอาไว้พิจารณาเส้นทางการส่งข้อมูล
ก. routing table
ข. static route
ค. network C
ง. Segment
ตอบข้อ ก routing table เอาไว้พิจารณาเส้นทางการส่งข้อมูล โดยพิจารณาจากระยะทางที่ข้อมูลจะไปถึงปลายทางเป็นหลัก
4.ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย มีไม่เกิน กี่เมตร
ก.500 เมตร
ข.100 เมตร
ค.250 เมตร
ง.200 เมตร
ตอบข้อ ง 200 เมตร ท่านควรใช้ Router ที่ทำจาก Server เนื่องจากว่าราคาถูก อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อกันได้ โดยใช้สาย UTP
5.ในกรณีที่ท่านต้องการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่า 2 เครือข่ายขึ้นไป ท่านควรพิจารณาเลือกใช้ layerใด
ก. Layer 4 Switching Hub
ข. Layer 2 Switching Hub
ค. Layer 3 Switching Hub
ง. Layer 1 Switching Hub
ตอบข้อ ค Layer 3 Switching Hub แทน เนื่องจากอัตราความเร็ว รวมทั้งปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่ข้ามไปมาหลายเครือข่ายสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
6.โดยทั่วไปหากวิ่งที่ 100 Mbps แต่ละพอร์ตของ Switches จะสามารถส่งผ่านข้อมูลในรูปแบบของเฟรมได้มากถึงกี่เฟรมต่อวินาที
ก.190,000 เฟรมต่อวินาที
ข.148,000 เฟรมต่อวินาที
ค.145,000 เฟรมต่อวินาที
ง.140,000 เฟรมต่อวินาที
ตอบข้อ ข 148,000 เฟรมต่อวินาที โดยหากเทียบกันกับ Router ที่ทำจากเซิร์ฟเวอร์แล้ว Layer 3 Switching จะเร็วกว่ากันมาก
7.ระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องพีซีทั่วไป โดยระบบปฏิบัติการของ Router เราเรียกว่า
ก. Cisco IOS
ข. Layer
ค. Cisco
ง. Switching
ตอบข้อ ก Cisco IOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่จะทำให้ท่านสามารถ จัดตั้งค่า Configuration รวมทั้งการบริหารจัดการ Router รวมทั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อกับ Router ของ Cisco ได้โดยสะดวก
8.ข้อใดเป็นคำสั่งที่ใช้แสดงการจัด Configuration ของระบบ Hardware
ก.show Version
ข. show Memory
ค. show Protocols
ง. show Processes
ตอบข้อ ก show Versionเป็นคำสั่งที่ใช้แสดงการจัด Configuration ของระบบ Hardware เช่น Version ของ Software ที่ใช้ใน Router ชื่อของ Configuration File อันเป็นต้นฉบับ รวมทั้ง Boot Images
9.เครือข่ายหนึ่งที่ใช้สายส่งข้อมูลแบบ coaxial cable ได้ Router มีการทำงานในระดับชั้นที่เท่าใด
ก.2
ข.3
ค.4
ง.5
ตอบข้อ ข ระดับชั้นที่ 3 ของ OSI คือ Network Layer และสามารถรับส่งข้อมูลที่เป็นกลุ่มข้อมูลหรือ Frame จากต้นทางไปยังปลายทางได้
10. คำสั่งที่ใช้เคลียร์ หน้าที่การทำงานต่างๆออกทั้งหมดคือ
ก. Connect
ข. Clock
ค. Clear
ง. Configure
ตอบข้อ ค Clear
11.หมายเลข IP address ที่มีให้ใช้งานใกล้จะหมด เนื่องจาก IPv4 มีขนาด กี่บิต
ก. 30 บิต
ข. 32 บิต
ค. 33 บิต
ง. 34 บิต
ตอบข้อ ข 32 บิต ทำให้สามารถกำหนดค่า IP address ได้ไม่เพียงพอสำหรับอนาคต ทำให้ไม่สามารถขยายเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้อีกต่อไป
12.ในการติดต่อโดยโปรโตคอล IPv6 สามารถกำหนดลักษณะการทำงานได้กี่แบบ
ก.2
ข.5
ค.3
ง.7
ตอบข้อ ค 3 แบบ คือ unicast, multicast และ ancycast
13. คำสั่งใดใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ
ก. Ping
ข. rlogin
ค. mtrace
ง. resume
ตอบข้อ ก Ping
14. อุปกรณ์ Router มีหน้าที่ทำอะไร
ก.ส่งข้อมูล
ข.รับข้อมูล
ค.เชื่อมโยงเครือข่ายที่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน
ง.จัดเก็บข้อมูล
ตอบข้อ ค เชื่อมโยงเครือข่ายที่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน ไม่ว่าเครือข่ายนั้นจะต่างหรือเหมือนกันในด้านกายภาพก็ตาม
15.หมายเลข IP address ทุกค่าจะมีรูปแบบที่เขียนให้เข้าใจเหมือนกันคือ เป็นตัวเลขกี่ชุด
ก.2 ชุด
ข.3 ชุด
ค.6 ชุด
ง.4 ชุด
ตอบข้อ ง 4 ชุดคั่นด้วยจุด เพื่อให้อ่านและจกจำได้ง่าย IP address มีขนาด 32 บิต เช่น 204.283.255.20 เป็นต้น
16.เครือข่ายที่มีหมายเลขไอพีแอดเดรส 192.168.30.0 ออกเป็นเครือข่ายย่อยๆ (Subnet) จำนวน กี่เครือข่าย
ก.5 เครือข่าย
ข.6 เครือข่าย
ค.7 เครือข่าย
ง.8 เครือข่าย
ตอบข้อ ข 6 เครือข่าย จากนั้นนำมาเชื่อมต่อกัน เพื่อการสื่อสารกันด้วย Router
17.ปริมาณข้อมูลข่าวสารมีขนาดเล็กหรือปานกลางวิ่งที่ความเร็วไม่เกินกี่ mbps
ก.100 mbps
ข.150 mbps
ค.300 mbps
ง.200 mbps
ตอบข้อ ก 100 Mbps และมีราคาถูก ท่านควรเลือกใช้ Router ที่ทำจากเซิร์ฟเวอร์เช่นกัน
18.ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายที่ต่างก็ใช้ Switching Hub มาเชื่อมต่อกับเครือข่าย ได้ไกลกี่กิโลเมตร
ก.4 กิโลเมตร
ข.3 กิโลเมตร
ค.2 กิโลเมตร
ง.1 กิโลเมตร
ตอบข้อ ค 2 กิโลเมตร (หากกำหนดให้ Switches ทั้งหมดทำงานเป็น Full Duplex)
19.รูปแบบการเชื่อมต่อแบบนี้ท่านไม่จำเป็นต้องใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง (Routing Protocol) แต่ท่านสามารถใช้ วิธีการ Routing แบบ ที่เรียกว่าว่าอะไร
ก. Static
ข. Hybrid
ค. Spoke
ง. Hub
ตอบข้อ ก Static แทน ซึ่งวิธีนี้ มีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง อีกทั้ง Router ที่ใช้มีขนาดเล็ก ราคาถูก ติดตั้งง่าย
20.การเชื่อมต่อแบบ Mesh สามารถมีได้กี่รูปแบบ
ก. 3 รูปแบบ
ข. 2 รูปแบบ
ค. 4 รูปแบบ
ง. 5 รูปแบบ
ตอบข้อ ข 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบ Partial หรือ Semi Mesh และแบบ Full Mesh
ข้อสอบ 60 ข้อ
แบบทดสอบระบบการสื่อสารข้อมูล 60 ข้อRouter
1.ข้อใดคือ 11001010.00011101.00111001.00000010
ก.202.50.5.3
ข.202.53.3.2
ค.202.29.57.2
ง.202.29.5.2
เฉลย ง. มาจาก 128+64+8+2.16+8+4+1.32+16+8+1.2 จะได้ = 202.29.5.2
2.ข้อใดคือ 01111101.00011000.10011011.01000010
ก.125.20.155.66
ข.125.24.155.66
ค.125.50.15.66
ง.120.25.55.58
เฉลย ข มาจาก 64+32+16+8+4+1.16+8.128+16+8+2+1. 128+2=125.24.155.66
3.42.58.5.29 คือ IP Class อะไร
ก.A
ข.B
ค.C
ง.D
เฉลย A เพราะ IP Class A เริ่มที่ 0-126 หรือ 127
4. IP Class A รองรับได้กี่ hosts
ก.2^24hosts
ข.2^16 hosts
ค.2^14 hosts
ง.2^8 hosts
เฉลย ก จากNetwork mask Class A = 255.0.0.0= 255.00000000.00000000.00000000 หา hostsโดยนำเอา 0 ที่เหลือมายกกำลังจะได้ ด้วยเลขฐาน2=2^24
5. .IP Private Class C รองรับได้กี่ hosts
ก.2^10 hosts
ข.2^16 hosts
ค.2^14 hosts
ง.2^8 hosts
เฉลย ง จากNetwork mask Class C = 255.255.255.0= 255.255.255.00000000 หา hostsโดยนำเอา 0 ที่เหลือมายกกำลังจะได้ ด้วยเลขฐาน2=2^8
6.คลาสของ Network ข้อใดคือ Class A
ก.N.N.N.H
ข.N.H.H.H
ค.N.H.N.H
ง.H.H.H.N
เฉลย ข เพราะ Network mask Class A = 255.0.0.0 = 255 คือหมายเลข Subnet markแทนด้วยN 0 คือ hostsแทนด้วย H
7.คลาสของ Network ข้อใดคือ Class C
ก.N.N.N.H
ข.N.H.H.H
ค.N.H.N.H
ง.H.H.H.N
เฉลย ก Network mask Class C = 255.255.255.0 = 255 คือหมายเลข Subnet markแทนด้วยN 0 คือ hostsแทนด้วย H
8. Private IP Addresses Class B คือ
ก.192.168.0.0 through 192.168.255.255
ข.172.16.0.0 through 172.16.255.255
ค.10.0.0.0 through 10.255.255.255
ง.172.16.0.0 through 173.31.255.255
เฉลย ค 10.0.0.0 through 10.255.255.255
9. Broadcast Address Class C คือ
ก.192.168.0.0 through 192.168.255.255
ข.172.16.0.0 through 172.16.255.255
ค.10.0.0.0 through 10.255.255.255
ง.172.16.0.0 hrough 173.31.255.255
เฉลย ง 172.16.0.0 through 173.31.255.255
10. ข้อใดคือ Private IP Address
ก.12.0.0.1
ข.172.20.14.36
ค.168.172.19.39
ง.172.33.194.30
เฉลย ข 172.20.14.36
11. Subnet mask ของ / 17 คือ
ก.255.255.128.0
ข.255.248.0.0
ค.255.255.192.0
ง.255.255.248.0
เฉลย ก 255.255.128.0
จาก Subnet mask ของ / 17 คือ 11111111.11111111.10000000.00000000
12. Subnet mask ของ / 25 คือ
ก.255.255.128.0
ข.255.255.255.128
ค.255.255.255.0
ง.255.255.255.240
เฉลย ข 255.255.255.128
จาก Subnet mask ของ / 25 คือ 11111111.11111111.11111111.10000000
13. Subnet mask ของ / 20 คือ
ก.255.255.240.0
ข.255.240.0.0
ค.255.255.255.240
ง.255.192.0.0
เฉลย ก.255.255.240.0
จาก Subnet mask ของ / 20 คือ 11111111.11111111.11110000.00000000
14. Network maskของ Class B คือ
ก.255.0.0.0
ข.255.255.0.0
ค.255. 255.255.0
ง.ถูกเฉพาะข้อ ข
เฉลย ข. 255.255.0.0
จาก Network maskของ Class B คือ 11111111.11111111.00000000.00000000
15. Network maskของ Class C คือ
ก.255.0.0.0
ข.255.255.0.0
ค.255. 255.255.0
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ค 255. 255.255.0
จาก Network maskของ Class C คือ 11111111.11111111.11111111.00000000
16.สัญลักษณ์ของการ mask คือ
ก. #
ข.\
ค..
ง. /
เฉลย ง /
17.CIDR คือ
ก. การจัดสรร Subnet แบบไม่แบ่งคลาส
ข.การจัดสรร IP แบบไม่แบ่งคลาส
ค.การหาเส้นทางแบบไม่แบ่งคลาส
ง.การจับรอดแคแบบสัญญาณข้อมูลแบบไม่แบ่งคลาส
เฉลย ก. การจัดสรร Subnet แบบไม่แบ่งคลาส
18.การแบ่ง subnetแบบ mask 3bit ของ Class C มี CIDR เท่ากับ
ก./21
ข./25
ค./27
ง./29
เฉลย ค/27
จาก การแบ่ง subnetแบบ mask 3bit ของ Class C มี CIDR เท่ากับ 11111111.11111111.11111111.11100000
19.การแบ่ง subnetแบบ mask 5bit ของ Class B มี CIDR เท่ากับ
ก./15
ข./17
ค./19
ง./21
เฉลย ง /21
จาก การแบ่ง subnetแบบ mask 5bit ของ Class B มี CIDR เท่ากับ
11111111.11111111.11111000.00000000
20.การแบ่ง subnetแบบ mask 8bit ของ Class B มี CIDR เท่ากับ
ก./16
ข./20
ค./24
ง./27
เฉลย ค/24 จาก การแบ่ง subnetแบบ mask 8bit ของ Class B มี CIDR เท่ากับ11111111.11111111.11111111.00000000
21.การแบ่ง subnetแบบ mask 5 bit ของ Class A มี CIDR เท่ากับ
ก./13
ข./21
ค./30
ง.ผิดทุกข้อ
เฉลย ก คือ Class A =11111111.11111000.00000000.00000000 1 bits = 13 ตัว
22. จำนวน Host ของการ mask 4 bit ของ Class C เท่ากับเท่าใด
ก. 2024 Hosts
ข. 254 Hosts
ค.18 Hosts
ง. 14 Hosts
เฉลย ง การ Mask 4 bit ของ Class C = 11111111.11111111.11111111.11110000 นำเอา 0 ที่เหลือมายกกำลังจะได้ ด้วยเลขฐาน2 = 2^4-2 = 14 Host และรองรับได้ไม่เกิน 14 Host
23.จำนวน Host ของการ mask 5 bit ของ Class C เท่ากับเท่าใด
ก. 2 Hosts
ข. 6 Hosts
ค.14 Hosts
ง. 30 Hosts
เฉลย ข การ Mask 5 bit ของ Class C = 11111111.11111111.11111111.11111000 นำเอา 0 ที่เหลือมายกกำลังจะได้ ด้วยเลขฐาน2 = 2^3-2 = 6 Host และรองรับได้ไม่เกิน 6 Host
24.จำนวน Subnet ของการ mask 4 bit ของ Class A เท่ากับเท่าใด
ก. 2 Subnets
ข. 6 Subnets
ค. 14 Subnets
ง. 30 Subnets
เฉลย ค คือ Mask 4 bit ของ Class A = 11111111.11110000.00000000.00000000 นำ 4 bit มายกกำลังด้วยเลขฐาน2 = 2^4 – 2 = 14
25.จำนวน Subnet ของการ mask 6 bit ของ Class B เท่ากับเท่าใด
ก.14 Subnets
ข.30 Subnets
ค.62 Subnets
ง.126 Subnets
เฉลย ค คือ Mask 6 bit ของ Class B = 11111111.11111111.11111100.00000000 นำ 6 bit มายกกำลังด้วยเลขฐาน2 = 2^6 – 2 = 62
26.จำนวน Host ที่เชื่อมต่อได้สูงสุดของ 255.255.255.224
ก. 28 Hosts
ข.32 Hosts
ค.30 Hosts
ง. 62 Hosts
เฉลย ค 255.255.255.224 = 11111111.11111111.11111111.11100000 นำเอา 0 ที่เหลือมายกกำลัง ด้วยเลขฐาน2 = 2^5-2 = 30 Host และรองรับได้ไม่เกิน 30 Host
27.จำนวน Host ที่เชื่อมต่อได้สูงสุดของ 255.255.255.192
ก.28 Hosts
ข.32 Hosts
ค.30 Hosts
ง.62 Hosts
เฉลย ง คือ 255.255.255.192 = 11111111.11111111.11111111.11000000 นำเอา 0 ที่เหลือมายกกำลัง ด้วยเลขฐาน2 = 2^6-2 = 62 Host และรองรับได้ไม่เกิน 62 Host
28.จำนวน Host ที่เชื่อมต่อได้สูงสุดของ 255.255.255.240
ก. 4049 Hosts
ข. 512 Hosts
ค.1024 Hosts
ง.128 Hosts
เฉลย ก คือ
29.ต้องการใช้ Subnet จำนวน 29 Subnet จะยืม (mask) จาก คลาส A เท่าไหร่
ก.3
ข.4
ค.5
ง.6
เฉลย ค Mask 5 bit ของ Class A = 11111111.11111000.00000000.00000000 นำ 5 bit มายกกำลังด้วยเลขฐาน2 = 2^5 – 2 = 30 ซึ่งใกล้เคียงกว่า
30.จากข้อที่ 29 Subnet mask ที่แสดงคือ
ก.255.192.0.0
ข.255.255.255.248
ค.255.255.248.0
ง.255.248.0.0
เฉลย ง Mask 5 bit ของ Class A = 11111111.11111000.00000000.00000000 = 128+64+32+16+8+4+2+1.128+64+32+16+8 = 255.248.0.0
31.ข้อใดไม่ใช่ Subnetwork ID สำหรับเครื่องที่ใช้ IP Address หมายเลข 200.10.68/28
ก.200.10.5.56
ข.200.10.5.32
ค.200.10.5.64
ง.200.10.5.0
เฉลย ก.200.10.5.56
subnet id > ip > network id
.0 >> ip >> .15 .16 >> ip >> .31 .32 >> ip >> .47 .48 >> ip >> .63 .64 >> ip >> .79
32.ข้อใดคือ Network Address ของหมายเลข 172.16.0.0/19
ก.8 Subnet; 2,046 Hosts
ข.8 Subnet; 8,192 Hosts
ค.7 Subnet; 30 Hosts
ง.7 Subnet; 62 Hosts
เฉลย ข. 2^13 = 8192
33.ข้อใดคือ Subnet ของ IP Address หมายเลข 172.16.210.0/22
ก.172.16.208.0
ข.172.16.254.0
ค.172.16.107.0
ง.172.16.254.192
เฉลย
34.ข้อใดคือ Subnet ของ IP Address 201.100.5.68/28
ก.201.100.5.31
ข.201.100.5.64
ค.201.100.5.65
ง.201.100.51
เฉลย ข. 201.100.5.64
subnet id > ip > network id
.0 >> ip >> .15
.16 >> ip >> .31
.32 >> ip >> .47
.48 >> ip >> .63
.64 >> ip >> .79
35.ข้อใดคือ Subnet ของ IP Address 172.16.112.1/25
ก.172.16.112.0
ข.172.16.0.0
ค.172.16.96.0
ง.172.16.255.0
เฉลย ก.172.16.112.0
การกำหนด IP Address 192.168.1.1/28 จงคำนวณหา Subnetwork ID IP Usage และBroadcast แล้วตอบคำถาม
36.หมายเลขใดไม่สามารถใช้ได้
ก.192.168.1.13
ข.192.168.1.226
ค.192.168.1.31
ง.192.168.1.253
เฉลย ค.192.168.1.31
37.หมายเลขใดเป็น subnetwork ID ของ Subnet ที่ 00001000
ก.192.168.1.13
ข.192.168.1.16
ค.192.168.1.31
ง.192.168.1.32
เฉลย ง.192.168.1.32
38.หมายเลขใดเป็น Broadcast ID ของ Subnet ที่ 000010000
ก.192.168.1.13
ข.192.168.1.226
ค.192.168.1.31
ง.192.168.1.253
เฉลย ค.192.168.1.31
39.หมายเลขใดเป็น subnetwork ID ของ Subnet ที่ 001100000
ก.192.168.1.63
ข.192.168.1.45
ค.192.168.1.48
ง.192.168.1.111
เฉลย ค.192.168.1.48
กำหนด IP Address 192.168.1.1/28 จงคำนวณหา Sub Network ID , IP Usage และBroadcast แล้วตอบคำถาม
จาก /28
11111111.11111111.11111111.11110000
Subnet = 8
Hosts = 14 ( 2 ^4 = 16 -2 = 14 Hosts )
Net ID IP Usage Broadcast ID
0 1-14 15
16 17-30 31
32 33-46 47
48 49 -62 63
64 63-78 79
80 81-94 95
96 97 - 110 111
ตารางที่ 1 แสดงการหาค่า Sub Network ID , IP Usage และ Broadcast ID ของ /28
40.หมายเลขใดเป็น Broadcast ID ของ Subnet ที่ 001100000
ก.192.168.1.63
ข.192.168.1.45
ค.192.168.1.48
ง.192.168.1.100
เฉลย ก. 192.168.1.63 อธิบาย
(อ้างอิงจากตารางที่ 1)
41.หมายเลขใดเป็น Broadcast ID ของ Subnet ที่ 001100000
ก.192.168.1.50
ข.192.168.1.96
ค.192.168.1.81
ง.192.168.1.10
เฉลย ก. 192.168.1.50อธิบาย
(อ้างอิงจากตารางที่ 1)
กำหนด IP Address 192.168.1.1/27 จงคำนวณหา Subnetwork ID , IP Usage และBroadcast แล้วตอบคำถาม
จาก /27
255.255.255.224
Subnet = 6
Hosts = 30 ( 2 ^5 = 30 Hosts )
Net ID IP Usage Broadcast ID
0 1-30 31
32 33-62 63
64 65-94 95
96 97-126 127
128 129-158 159
160 161-190 191
192 193-223 223
224 225-254 255
ตารางที่ 2 แสดงการหาค่า Sub Network ID , IP Usage และ Broadcast ID ของ /27
42.ข้อใดไม่เข้าพวก
ก.192.168.1.1
ข.192.168.1.95
ค.192.168.33
ง.192.168.1.124
เฉลย ข . 192.168.1.95 อธิบาย
เพราะ ข้อ ก, ค , ง เป็น IP Usage แต่ ข้อ ข. เป็น Broadcast ID ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม
(อ้างอิงจากตารางที่ 2)
43.ข้อใดไม่เข้าพวก
ก.192.168.1.0
ข.192.168.1.96
ค.192.168.32
ง.192.168.1.159
เฉลย ง. 192.168.1.159 อธิบาย
เพราะข้อ ก ,ข ,ค เป็น Net ID แต่ข้อ ง. เป็น Broadcast ID ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม
(อ้างอิงจากตารางที่ 2)
44.หมายเลขใดไม่สามารถใช้ได้
ก.192.168.1.193
ข.192.168.1.161
ค.192.168.1.127
ง.192.168.1.60
เฉลย ค. 192.168.1.127 อธิบาย
เพราะ ข้อ ค. เป็น Broadcast ID
45.ข้อใดคือ IP Usage ของ Sub Network IP 192.168.1.96
ก.192.168.1.0 – 192.168.1.31
ข.192.168.1.65.192.168.1.94
ค.192.168.1.97- 192.168.1.126
ง.192.168.1.95- 192.168.1.127
เฉลย ค. 192.168.1.97- 192.168.1.126 (อ้างอิงจากตารางที่ 2)
จงใช้ภาพข้างล่างนี้ตอบคำถามข้อ 46-50
กำหนดให้ IP Private Network Class C 192.168.1.1
46. Net_D ควรใช้ / อะไร
ก./26
ข./27
ค./28
ง./29
เฉลย ข้อ ข. /27 อธิบาย
จากโจทย์ Net_D รองรับ 25 Hosts
/27 เขียน Suubnet mask ได้ 11111111.11111111.11111111.11100000
Host = 2^5 = 32 – 2 = 30 Host (ซึ่งใกล้เคียงและสามารถรองรับ Net_D ได้)
47. จาก Network ข้างต้น ใช้ Subnetwork อะไรจึงรองรับได้ทุก Network
ก. /26
ข./27
ค./28
ง./29
เฉลย ข้อ ก. /26 อธิบาย
จากโจทย์ Network รองรับได้สูงสุดที่ 50 Hosts
/26 เขียน Subnet mask ได้ 11111111.11111111.11111111.11000000
Host = 2^6 = 64 – 2 = 62 Host ( ซึ่งใกล้เคียงและสามารถรองรับ Network ได้ทั้งหมด)
48. Net_ C มี หมายเลข Subnet mask อะไร
ก.255.255.255.192
ข.255.255.255.254
ค.255.255.255.248
ง.255.255.255.252
เฉลย ข้อ ง.255.255.255.252 อธิบาย
จากโจทย์ Net_ C รองรับได้ 2 Hosts
Subnet mask 255.255.255.252 หรือ 11111111.11111111.11111111.11111100
Host = 2^2 = 4 – 2 = 2 Host ( ซึ่งสามารถรองรับ Net_C ได้)
49. Net_ B มีหมายเลข Subnet mask อะไร
ก.255.255.255.192
ข.255.255.255.254
ค.255.255.255.248
ง.255.255.255.252
เฉลย ข้อ ก.255.255.255.192 อธิบาย
จากโจทย์ Net_B รองรับได้ 50 Hosts
Subnet mask 255.255.255.192 หรือ 11111111.11111111.11111111.11000000
Host = 2^6 = 64 – 2 = 62 Host (ซึ่งใกล้เคียงและสามารถรองรับ Net_B ได้)
50.หากใช้ /26 หมายเลข Sub Network IP ของ Network สุดท้ายคือ
ก.192.168.1.128
ข.192.168.1.192
ค.192.168.1.191
ง.192.168.1.255
เฉลย ข.192.168.1.192
51.จากภาพด้านบนเกิดการใช้คำสั่งใด
ก. Arp-a
ข.Net stat
ค.NSlookup
ง.tracert
เฉลย netstat
52จากภาพด้านบนเกิดหารใช้คำสั่งใด
ก. Arp-a
ข. Net stat
ค. NSlookup
ง. Ipconfig/all
เฉลย Arp –a
ที่มา http://dbsql.sura.ac.th/know/nt/chap8.htm
53.จากภาพด้านบนเกิดหารใช้คำสั่งใด
ก. .tracert-a
ข. Net stat
ค. NSlookup
ง. Ipconfig/all
เฉลย nslookup
ที่มา http://monetz.myfri3nd.com/blog/2008/05/07/entry-7
54.การใช้คำสั่งตรวจสอบดู Computer Name คือ
ก. ipconfig
ข.nslookup
ค.hostname
ง.tracert
เฉลย hostname
ที่มา http://www.geocities.com/naphasoan/do9.html
55.การใช้คำสั่งตรวจสอบดู IP และ subnet mask คือ
ก.ipconfig
ข.nslookup
ค.hostname
ง.tracert
เฉลย ipconfig
ที่มา http://www.siamfocus.com/content.php?slide=14&content=37
56.การตรวจสอบการเชื่อมต่อระหว่างต้นทางกับปลายทางคือ
ก.ipconfig
ข.nslookup
ค.hostname
ง.tracert
เฉลย tracert
ที่มา http://optimalcom.blogspot.com/2009/06/dos-network.html
57.Destination Host Unreachable หมายความว่า
ก.ติดตั้งIP ที่ Host ไม่ถูกต้อง
ข.ติดตั้ง Card LAN ไม่ถูกต้อง
ค.Host ไม่ถูกเชื่อมต่อกับเครื่อง PING
ง. Host ไม่ถูกเชื่อมต่อกับระบบ
เฉลย ติดตั้ง ip ไม่ตถูกต้อง
ที่มา http://www.thaiadmin.org/board/index.php?topic=48733.0
58. Tracert คือ
ก.การหาเส้นทางการเชื่อมต่อจากต้นทางไปปลายทาง
ข.การหาเส้นทางการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์
ค.การตรวจสอบระบบสถานะของระบบเครือข่าย
ง.ตรวจสอบความผิดพลาดของ Packet
เฉลย ก.
ที่มา http://optimalcom.blogspot.com/2009/06/dos-network.html
59. การเข้าหน้า cmd ทำอย่างไรในครั้งแรก
ก.Start>run>cmd
ข.start>run>command
ค.start>allprogram>accessories>command prompt
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ง
60.ARP (Address Resolution Protocol)หรือหมายเลข LAN card มีกี่ ไบต์
ก.6 Byte
ข.16 Byte
ค.8 Byte
ง.32 Byte
เฉลย ก
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552
IEEE 802.3 Bus topology
มาตรฐาน 802.3 พัฒนามาจากระบบอะโลฮ่า เริ่มจากบริษัท Xerox ได้สร้างระบบเครือข่ายเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ 100 สถานีภายในบริษัท โดยมีความยาวของเครือข่ายได้ถึง 1กิโลเมตร และมีอัตราการส่งข้อมูลได้ 2.94 Mbps ซึ่งระบบนี้เรียกว่า อีเทอร์เน็ต (Ethernet เป็นชื่อที่ได้มาจากความเชื่อ ที่ว่า “มีสสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ether ซึ่งมีอยู่ในอวกาศเป็นตัวกลางสำหรับการแพร่กระจายของแสงในอวกาศ ” ต่อมาบริษัท Xerox ,DEC,Intel ได้ร่วมกันพัฒนามาตรฐานอีเทอร์เน็ตซึ่งมีอัตราการส่ง 10 Mbps ซึ่งกลายเป็นมาตรฐาน IEEE 802.3 ในปัจจุบัน ซึ่งมาตรฐาน 802.3 นี้จะอธิบายถึงแลนทั้งหมดที่ใช้หลักการ CSMA/CD ที่มีอัตราการส่งข้อมูลตั้งแต่ 1 – 10 Mbps และใช้สายส่งชนิดต่างๆดังนี้
10Base2 หรือ Thin Ethernet ใช้สายโคแอกเชียลชนิดอ่อนดัดง่ายเป็นสื่อส่งข้อมูล การเชื่อมเข้าสู่สายเคเบิลนี้ใช้หัวต่อแบบ BNC ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปตัว Tการทำงาน ตัวรับส่งสัญญาณจะอยู่บนอินเตอร์เฟสบอร์ดของแต่ละโหนด ใช้รับส่งสัญญาณที่โหนดของตนเองซึ่งต่างกับ 10Base5ที่อาจมีการใช้ตัวรับส่งสัญญาณร่วมกันระหว่างหลายสถาน10Base5 หรือ Thick Ethernet เป็นสายสีเหลืองและมีเครื่องหมายกาทุก 2.5 เมตร แสดงจุดที่จะเจาะเพื่อเกาะTransciever (ตัวรับส่งสัญญาณของแลนการ์ด)การทำงาน ทรานซีฟเวอร์หรือตัวรับส่งสัญญาณจะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถตรวจสอบสัญญาณในสายว่าว่างหรือไม่ และตรวจสอบการชนกันของสัญญาณในสายว่าว่างหรือไม่ และตรวจสอบการชนกันของสัญญาณในสาย หากตรวจพบว่ามีการชนกันของสัญญาณในสาย ตัวรับส่งสัญญาณจะส่งสัญญาณพิเศษลงในสายเพื่อให้ตัวรับส่งสัญญาณรู้ด้วยว่ามีการชนกันของสัญญาณ สายของตัวรับส่งสัญญาณซึ่งยาวได้ถึง 50 เมตร จะเป็นตัวนำสัญญาณข้อมูลตลอดจนสัญญาณควบคุมส่งไปมาระหว่างตัวส่งสัญญาณกับอินเตอร์เฟสบอร์ด สำหรับอินเตอร์เฟสบอร์ดจะมีชิปควบคุมซึ่งจะรวบรวมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ถูกต้องของเฟรม พร้อมกับคำนวณผลรวมตรวจสอบแล้วส่งออกไป ส่วนการรับข้อมูล ชิปจะตรวจหาขอบเขตของเฟรมและคำนวณผลรวมตรวจสอบเพื่อตรวจความถูกต้องของข้อมูล อินเตอร์เฟต สบอร์ดบางตัวจะมับัฟเฟอร์สำหรับเก็บเฟรมข้อมูลเข้าออก และอาจมี DMA ( Direct Memory Access)ในการรับส่งข้อมูลโดยตรงกับหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลระหว่างบอร์ดกับคอมพิวเตอร์ สายทั้งสอง มีปัญหาที่สำคัญคือ หากสายเคเบิลขาดหรือหัวต่อหลวมจะทำให้สัญญาณไฟฟ้าภายในสะท้อนอยู่ในสาย ทำให้การทำงานของระบบเสียหาย เราสามารถตรวจสอบคุณภาพของาสายได้โดยการส่งสัญญาณออกไปแล้ววัดระยะเวลาที่ส่งไปกับสะท้อนกลับมาถ้าไม่เท่ากันแสดงว่าสายนั้นเสียหายแล้ว จึงมีการคิดค้นสายแบบใหม่คือ10Base-T ใช้สายคู่ตีเกลียวแบบเดียวกับสายโทรศัพท์ สายจากโหนดจะต่อเข้ากับ Hub ทำให้สามารถเพิ่มหรือลดโหนดในขณะทำงานอยู่ได้ หากสายขาดก็สามารถตรวจหาได้ง่าย ปกติจะส่งข้อมูลผ่านสายยาวถึงฮับได้ 100 เมตร แต่หากใช้สายคู่ตีเกลียวแบบ category 5 ส่งได้ถึง 150 เมตร 10Base-F ใช้เส้นใยแก้วนำแสงจึงทำให้ราคาค่อนข้างแพงโดยเฉพาะหัวต่อและตัวหยุดสัญญาณ(Terminator) Terminator ใช้ติดที่ปลายสายเคเบิลเพื่อดูดสัญญาณไม่ให้ออกไปกระทบกับอากาศเพราะจะเกิดการสะท้อนกลับมารบกวนสัญญาณที่ส่งอยู่ ทนทานต่อคลื่นรบกวน ใช้เป็นแบ็กโบนเชื่อมระหว่างตึกหรือระหว่างฮับที่อยู่ห่างกัน ในกรณีที่ต้องการจะต่อแลนให้กว้างออกไปอีก สัญญาณที่ส่งจะเพี้ยนหรือเบาลงเนื่องจากระยะทางที่ไกลจึงต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า ตัวทวนสัญญาณ (repeater)ซึ่งเป็นตัวรับสัญญาณที่ส่งมาแล้วทำการสร้างสัญญาณเดิมขึ้นมาใหม่แล้วทำการส่งต่อไป แต่เครื่อง 2 เครื่องต้องอยู่ห่างกันไม่เกิน 2.5 กิโลเมตร มีรีพีทเตอร์ไม่เกิน 4 ตัว ในเส้นทางเดียวกัน
การเข้ารหัสสัญญาณไฟฟ้าของแลน 802.3
เพื่อให้ฝั่งรับสามารถรับข้อมูล 1 หรือ 0 ได้ถูกต้องโดยไม่ต้องใช้สัญญาณจังหวะนาฬิกาจากภายนอกเข้ามาช่วย แลนแบบ 802.3 ใช้วิธีการเข้ารหัสสัญญาณแบบ แมนเชสเตอร์ (Manchester Encoding) วิธีนี้ช่วงเวลาของแต่ละบิตถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเท่าๆกัน ในการแทนค่า 1 นั้นระดับไฟฟ้าของสัญญาณจะเปลี่ยนแปลงจากสูงมาต่ำ และการแทนค่า 0 ระดับไฟฟ้าจะเปลี่ยนจากต่ำไปสูง ระดับไฟฟ้าสูงมีค่า 0.85 โวลต์ และระดับไฟฟ้าต่ำมีค่า –0.85 โวลต์ เนื่องจากว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่าระดับไฟฟ้าที่ตรงกลางของแต่ละบิต จึงทำให้ฝั่งรับสามารถทำงานสอดคล้องกับฝั่งส่งได้โดยง่าย
และยังมีการเข้ารหัสแบบดิฟเฟอเรนเชียลแมนเชสเตอร์(Differential ManchesterEncoding) ซึ่งมีการเปลี่ยนเฟสของสัญญาณทุกครั้งเมื่อบิตข้อมูลมีค่าเป็น 0 ส่งผลให้สัญญาณข้อมูลทนต่อคลื่นรบกวนได้มากว่าเดิม แต่ต้องใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อนมากกว่า
Format for CSMA/CD Bus Frames
Preamble มีบิต 10101010 เพื่อให้สัญญาณนาฬิกาของฝั่งรับสอดคล้องกับฝั่งส่งข้อมูล นั่นคือฝ่ายรับจะสามารถสร้างสัญญาณนาฬิกาเพื่อรับข้อมูลจากรูปแบบ 10101010...101010ของไบต์เริ่มต้นได้
Start of frame มีบิต 10101011 บอกจุดเริ่มต้นของเฟรม
Destination and Source Address ในแอดเดรสปลายทางจะมีบิตสูงสุดใช้บ่งบอกการทำงาน คือ ถ้ามีค่าเป็น 0 ใช้บอกว่าเป็นแอดเดรสของผู้รับทั่วไป ถ้าเป็น 0 ใช้ระบุแอดเดรสเฉพาะกลุ่มเดียวกัน เป็นการส่งแบบ multicast (ผู้รับหลายคนรับข้อมูลชุดเดียวกันจากผู้ส่งคนเดียวกันได้) แต่ถ้าแอดเดรสปลายทางเป็น 1 หมด หมายถึงส่งข้อมูลให้ทุกโหนดในเครือข่ายนั้นๆ
Length of data บอกขนาดของข้อมูล Data ข้อมูลจริงที่ส่ง
Pad ใช้ถูกใช้เมื่อข้อมูลที่ส่งมีขนาดน้อยกว่า 46 ไบต์ ฟิลด์นี้จะถูกขยายให้พอดีกับขนาดที่ขาดไปจาก 64 ไบต์ เพื่อมิให้เฟรมสั้นเกินไป เพราะว่าถ้าเกิดการชนกัน มันจะตัดเฟรมที่กำลังส่งอยู่จึงทำให้เฟรมนั้นเสียไปและผู้ส่งก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเกิดการชน คิดว่าข้อมูลส่งถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงมีการกำหนดความยาวของเฟรมที่ดีต้องไม่ต่ำกว่า 64 ไบต์ นับจากที่อยู่ผู้รับเป็นต้นไป เพื่อแยกเฟรมดีกับเฟรมที่เสียหาย และยังป้องกันไม่ให้โหนดจบการส่งข้อมูลก่อนที่บิตแรกของเฟรมจะไปถึงปลายสาย ทำให้ฝ่ายส่งทราบว่าเกิดการชนก่อนที่จะส่งเฟรมจบ แล้วตัดเฟรมได้ถูกต้อง หรือให้ทราบว่าข้อมูลส่งครบโดยไม่มีการชน
Checksum ฟิลด์รวมตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดยใช้เทคนิคของ CRC (Cyclic Redundancy Check)
CSMA/CD
carrier sense ก่อนส่งจะฟังสายดูก่อนว่าว่างหรือไม่ ถ้าว่างก็ส่งได้เลย ถ้าไม่ว่างก็สุ่มเวลาแล้วส่งใหม่collision detection ถ้าสายถูกใช้อยู่ จะรอฟังจนกว่าสายจะว่างจึงจะส่งใหม่ ถ้าสายว่างแล้วส่งพร้อมกันจะทำให้เกิดการชนกัน สามารถตรวจพบได้จากระดับสัญญาณไฟฟ้าที่สูงขึ้น แผงอะแดปเตอร์จะส่ง jam signal ไปให้ทุกโหนดทราบว่ามีการชน เพื่อหยุดการส่งข้อมูลและสุ่มเวลาที่จะส่งใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่มีการชน จะส่งข้อมูลแบบ Broadcast ส่งไปทุกเครื่องในเครื่อข่าย เครื่องจะอ่าน header ของไฟล์ที่เป็นของตนเองเท่านั้น
หลังจากการชนครั้งแรกแต่ละโหนดจะสร้างตัวเลขสุ่มที่มีค่า 0 หรือ 1(เลขสุ่ม 21 ค่า) โหนดจะส่งออกไปในช่วงเวลาที่สุ่มได้หากสุ่มได้ค่าเดียวกันจะเกิดการชนครั้งที่ 2 โหนดจะสร้างเลขสุ่มที่มีค่า 0,1,2 หรือ 3(เลขสุ่ม 22 ค่า) แล้วส่งใหม่อีกครั้ง หากชนกันถึง 16 ครั้ง อินเตอร์เฟสของบอร์ดจะรายงานไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแก้ไขในระดับสูง เรียกวิธีนี้ว่าBinary Exponential Backoff แต่เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ในแลนมีจำนวนมากขึ้นจะเกิดการชนกันมากขึ้น วิธีแก้ คือ เพิ่มอัตราการส่งเป็น 100 Mbpsหรือ ใช้อุปกรณ์สวิสต์ฮับ (switching hub) ซึ่งประกอบไปด้วยการ์ดเสียบจำนวน 4 –32 แผ่นแต่และแผ่นมีหัวต่อ 1 – 8 ตัว แต่ละหัวสามารถต่อกับคอมพิวเตอร์ที่ส่งข้อมูลแบบ 10Base-T การ์ดเสียบเหล่านี้จะส่งข้อมูลผ่าน สายสื่อสารหลักความเร็วสูง(high-speed backbone)ที่มีอัตราส่ง 1 Gbps เมื่อสถานีส่งเฟรมข้อมูลเข้ามายังสวิสต์ การ์ดเสียบจะตรวจสอบว่าเฟรมข้อมูลนั้นต้องการส่งให้สถานีที่เชื่อมโยงเข้ากับการ์ดเดียวกันหรือไม่ ถ้าใช่ เฟรมข้อมูลจะถูกสำเนาส่งไปยังสถานีนั้น ถ้าไม่ใช่ เฟรมจะถูกส่งผ่านแบ็กเพลนไปยังการ์ดปลายทางเพื่อส่งข้อมูลแก่ถานีปลายทาง แต่ถ้าสองสถานีบนการ์ดเดียวกันส่งข้อมูลเข้าด้วยกันมีวิธีแก้ 2 แบบ คือ
1.หัวต่อของการ์ดเดียวกันจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นแลน 802.3 วงหนึ่ง ซึ่งมีการควบคุมการส่งข้อมูลของสถานีบนการ์ดนั้นเป็นแบบโปรโตคอล CSMA/CD ดังนั้นบนการ์ดหนึ่งจะส่งข้อมูลได้สถานีเดียวในขณะใดขณะหนึ่ง
2.แต่ละพอร์ตข้อมูลเข้าของการ์ดจะมีบัฟเฟอร์รับและส่งข้อมูล ซึ่งเฟรมข้อมูลที่เข้ามาจะถูกเก็บไว้ในบัฟเฟอร์ ดังนั้นทุกพอร์ตของการ์ดจะสามารถรับข้อมูลเข้ามาและส่งออกในเวลาเดียวกัน เป็นการทำงานแบบฟูลดูเพล็กซ์(Full Duplex) สวิสต์ฮับแบบนี้เมื่อมีเฟรมข้อมูลเข้ามาแล้ว จะตวจสอบว่าต้องการส่งให้พอร์ตอื่นในการ์ดเดียวกันหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะส่งข้อมูลไปปลายทางโดยตรง ซึ่งข้อมูลจะถูกเก็บลงในคนละบัฟเฟอร์กับข้อมูลที่รับมาจากสถานีของพอร์ตนั้น ถ้าไม่ใช่ จะส่งข้อมูลผ่านแบล็กเพลนไปยังการ์ดปลายทาง เนื่องจากแต่ละพอร์ตมีบัฟเฟอร์จึงไม่มีการชนกันของเฟรมข้อมูล เมื่อหลายสถานีบนการ์ดเดียวกันส่งข้อมูลพร้อมกัน
###URL เนื้อหา###
http://www.geocities.com/seeis_224/Internet12.htm
http://rbu.rbru.ac.th/~bangkom/mnlan.htm
******ข้อสอบ 7 ข้อ******
1. Ethernet เป็นโปรโตคอลของระบบ lan ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 มาตรฐานหลัก ๆ คือ ?
ก. ARCnet
ข. Token Ring
ค. Ethernet
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
Ethernet เป็นโปรโตคอลของระบบ lan ตามมาตราฐานหนึ่งของ IEEE ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 มาตรฐานหลัก ๆ คือ ARCnet , Token Ring และ Ethernet ซึ่งคุณสมบัติ ข้อกำหนด ขีดจำกัด ลักษณะการใช้งาน อุปกรณ์ที่ใช้ และ การใช้ Topology ก็จะแตกต่างกันออกไป
2. มาตรฐาน ARCnet มีความเร็วการรับส่งข้อมูลกี่ Mbps ?
ก. 16 Mbps
ข. 10 Mbps
ค. 2.5 Mbps
ง. 100 Mbps
ตอบ ค. 2.5 Mbps มาตรฐาน ARCnetจะมีความเร็วการรับส่งข้อมูล2.5 Mbps ชนิดของสายสัญญาณ Coaxial , UTPและจะมีรูปแบบของ Topology เป็น Star , Bus
3. เพื่อจัดสรรการใช้งานทรัพยากรในระบบเครือข่ายสามารถจำแนกได้กี่รูปแบบ ?
ก. 8 รูปแบบ
ข. 6 รูปแบบ
ค. 4 รูปแบบ
ง. 2 รูปแบบ
ตอบ ง. 2 รูปแบบ เพราะเพื่อจัดสรรการใช้งานทรัพยากรในระบบเครือข่ายสามารถจำแนกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ
1. เครือข่ายแบบพึ่งเครื่องบริการ (Server-based networking)
2. เครือข่ายแบบเท่าเทียม (Peer - to - Peer networking)
4.เครือข่าย Server-Based มีข้อดีอย่างไร ?
ก. มีประสิทธิภาพสูงกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นแบบ Dedicated Server
ข. การดูแลระบบสามารถทำได้ง่ายกว่า
ค. สามารถกระจายโปรแกรมประยุกต์ไปไว้ยังเครื่องต่างๆ เพื่อลดการจราจรในเครือข่ายได้
ง. ถูกทั้ง ก และ ข
ตอบ ง. ถูกทั้ง ก และ ข
เครือข่าย Server-Based มีข้อดีคือ
-มีประสิทธิภาพสูงกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นแบบ Dedicated Server-การดูแลระบบสามารถทำได้ง่ายกว่า
5. ระบบปฏิบัติการเครือข่ายใดที่มีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของเครือข่าย เช่นเดียวกับการที่ระบบปฏิบัติการ (Operating System)
ก. ISO
ข. IEEE
ค. NOS
ง. OSI
ตอบ ค. NOS คือ Network Operating System (NOS) ระบบปฏิบัติการเครือข่าย(Network Operating System) มีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของเครือข่าย เช่นเดียวกับการที่ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง
6. ระบบเครือข่ายแบบ Ethernet ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทซีรอกซ์ในปลายทศวรรษใด?
ก. 1970
ข. 1980
ค. 1960
ง. 1950
ตอบ ก. 1970
IEEE 802.3 และ Ethernet ระบบเครือข่ายแบบ Ethernet ถูกพัฒนา ขึ้นโดยบริษัทซีรอกซ์ในปลายทศวรรษ 1970
7. NOS หมายถึง
ก. Network Operating Server
ข. Network Operating System
ค. Networking Operating Server
ง. Networking Operating System
ตอบ ข. Network Operating System (NOS) ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operating System) มีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของเครือข่าย